Home » » BMW ตำนานไม่มีวันตาย [Part 1]

BMW ตำนานไม่มีวันตาย [Part 1]

Written By TripleTwoGunpla on วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556 | 22:47


ก่อนอื่นทางทีมงาน MADBIKERTHAI ต้องขออนุญาติ และขอขอบพระคุณทีมงานผู้จัดทำเว็บ www.bmwvintagebike.com มา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตำนาน BMW




ที่มาของ มอเตอร์ไซด์ BMW - ประวัติโดยสังเขป   [ตอน 1]
ด้วยความอยากรู้ และ สนใจอ่านประวัติความเป็นมาของมอเตอร์ไซด์ BMW จากหลากหลายแหล่ง บางที่มาก็แตกต่างไปบ้าง โดยพื้นฐานค่อนข้างตรงกัน แต่ไม่ละเอียดในบางเรื่องราว วันหนึ่งขณะท่องเวปeBay พบหนังสือ BMW Profiles และอยากได้มาก เพราะ ตรงกับช่วงเวลาที่ความสนใจในการสะสมมอเตอร์ไซด์ที่ไม่เกินอายุปี 1969 แต่ผู้ขายไม่ยอมขายนอกอเมริกา เลยขอให้เพื่อนช่วยประมูลเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ไม่สามารถทำได้เพราะเราอยู่ที่นี่ ได้หนังสือมาในราคาที่ไม่แพง สภาพใหม่เก่าเก็บ และ เมื่อดูรายละเอียดภายใน พบว่าเป็นหนังสือที่จัดทำ และ พิมพ์โดย BMW เองโดยใช้องค์กรภายในที่ชื่อ BMW Mobile Tradition.
ภาพซ้าย หนังสือเล่มนี้คือที่มาของบทความที่นำมาเสนอ เพราะคิดว่าเป็นทางการ และ ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา


เนื้อหาภายในแบ่งเป็นสามส่วน ซึ่งสำคัญสำหรับผมมาก คือ ประวัติที่ตรง-ละเอียด สอง ประวัติที่ตามตารางเวลาแบบย่อ และ ส่วนสุดท้ายคือรายละเอียดทางเทคนิคของรถทุกรุ่น [จบที่ปี 1969] และในส่วนนี้มีตารางหมายเลขเครื่อง-เฟรม และ ปีที่ผลิต ที่เป็นของ BMW Mobiles Tradition อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นหนึ่งในการอ้างอิงที่ผมใช้มาตลอดเวลาเช็คการดู-ซื้อรถ ตารางเลขเครื่องนี้มีมาจากหลายที่ และ ไม่ค่อยตรงกัน แต่พอเห็นของเล่มนี้ก็ยอมรับได้ว่าเป็นอันที่น่าเชื่อถือที่สุด และ ก็เป็นฉบับเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญในวงการบ้านเราใช้กันอยู่ [ผมได้สำเนามาจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งในบ้านเราเมื่อเริ่มต้นสะสมรถ]
สิ่งที่ถือเป็นโบนัสมากคือ ภาพที่มีไม่มาก และ เป็นขาวดำหมด แต่ส่วนมากเป็นภาพดีมาก ที่ไม่เคยเห็นจากแหล่งอื่นเลย ความจริงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์อยากให้ผู้ที่สนใจเรื่องราวได้ประโยชน์นี้บ้าง จึงขอนำบางส่วนมาให้ดู
เพื่อให้บทความนี้มีความสมบูรณ์ เพราะคิดว่ามีประโยชน์ต่อผู้ที่เล่นรถ BMW Vintage ใจความที่ดีบางส่วนขอนำมาจากหนังสืออีกสองเล่ม คือ Bahnstormer ที่เนื้อหาค่อนข้างละเอียด และ The Art Of BMW ที่เรื่อง และ ภาพมาจากการสะสม และ พิพิธภัณฑ์ของ Peter Nettesheim ภาพที่นำมาเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์มาจากหลายแหล่ง
ภาพซ้าย Bahnstormer ของ L.J.K.Setright ที่เป็นที่ยกย่องในวงการ BMW Vintage มาก และ ภาพขวา The Art Of BMW ของ Peter Gantriis
ภาพบนซ้าย ภาพที่เป็นที่มาของสัญญลักษณ์ วงกลมสลับสีฟ้าขาว และ ตัวหนังสือ BMW และ ภาพบนขวา คือ Trade Mark ในรูปแบบการใช้งาน บทความหลายเล่มเขียนถึงตราสินค้านี้ที่สามารถอยู่คู่กับพัฒนาการของบริษัท และ กลายเป็นสัญญลักษณ์ของคุณภาพมาจนทุกวันนี้
ประวัติการเริ่มต้น บริษัทฯ BMW นับวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1917 เป็นวันเริ่มต้น โดยนับวันที่ Bayerische Flugzeugwerke ได้ถูกจัดตั้งขึ้น ด้วยเงินทุน 200,000 Reichsmarksและ จัดตั้งโรงงาน-ที่ทำงานทางด้านเหนือของเมืองมิวนิค โดยหลัเพื่อการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินในเวลานั้น
ในเวลาต่อมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุน จึงเป็นที่มาของชื่อ Bayerische Motorenwerke GmbH ด้วยการรวมตัวของ Rapp Motorenwerke และ Otto-Werke และ ได้มีการจดทะเบียนเป็นทางการปรากฏที่ Munich Register of Companies ไม่นานหลังจากนั้นรูปสัญญลักษณ์ที่เป็นใบพัดบนเครื่องบิน ก็ถูกจดทะเบียนเป็นตราบริษัทฯ วิศวกรหลักของบริษัท คือ Karl Rapp ผู้ที่ออกแบบเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 แต่ไม่ประสพความสำเร็จเท่าไร เมื่อได้รับสัญญาการผลิตใหม่ถึง 224 เครื่อง จึงเป็นที่มาของการที่จะปรับปรุงเพื่อคุณภาพของเครื่องให้กับกองทัพเยอรมัน Franz-Joseph Popp ในฐานะของผู้ตรวจการ ถูกส่งมาสำรวจโรงงาน และ การผลิตที่มิวนิค ต่อมาไมนาน Karl Rapp ก็ถอนตัว และ Franz-Joseph Popp รับหน้าที่ Technical Director.
ภาพซ้ายสุด Franz-Joseph Popp ผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนทิศทางของบริษัทฯ และ ภาพถัดมาคือ Max Friz วิศวกรหนุ่มที่มาจากการออกแบบเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน และ Frizคือผู้ที่มีบทบาทมากในการปรับแบบเครื่อง Boxer ที่เป็นปัจจัยสำคัญของ BMW Motorcycles
เมื่อ Karl Rapp ถอนตัว Popp ในฐานะผู้ควบคุมการผลิตจ้างวิศวกรหนุ่ม Max Friz มาจากDaimler ในขณะที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องเงินเดือน และ ตั้ง Friz เป็น "Engine Designer" ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1917 และ ทั้งสองคนพุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาเครื่องยนต์ที่ได้รับการสั่งมา โดยปรับปรุงเครื่องที่ Karl Rapp ทำไว้ก่อน และ ประสพปัญหา



ภาพบนซ้าย เครื่องยนต์หกสูบ ใช้ชื่อรุ่นว่า BMW IV ที่ปรับเปลี่ยนระบบคาร์บูเรตเตอร์ใหม่โดย Friz ภาพบนขวา เครื่องบินที่ใช้เครื่องนี้สามารถทำลายสถิติความสูงโลกที่9,760 เมตร โดยนักบินที่ยืนบนบันได คือ Franz Zeno Diemer ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1919 นับเป็นสถิติแรกของ BMW ในจำนวนนับร้อยที่จะตามมา
เมื่อ Friz เข้ามาร่วมทีม และ เป็นวิศวกรหลักในการปรับปรุงเครื่องยนต์ที่ขายให้กับเครื่องบิน และ สิ่งแรกที่ Friz ทำสำเร็จ คือ การผลิตคาร์บูเรตเตอร์ที่สามารถบินในระดับสูงด้วยการผสมผสานของน้ำมัน และ อากาศที่ดี เครื่องนี้คือ BMW IV ไม่นาน บริษัทฯก็มีปัญหาทางด้านเงินทุน ในปี ค.ศ. 1918 และ เป็นที่มาของนักลงทุนชาวออสเตรีย คือ Camillo Castiglioni ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการลงทุนในยุโรปมากขณะนั้น และ มีบริษัทอยู่ในกลุ่มถึง 170 บริษัท ไม่นานต่อมาก็มีการเพิ่มทุนเป็น 12,000,000 Marks
เหตุการณ์ที่ผันผวน และ เป็นที่มาของอนาคต BMW คือเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งแรก ยอมลงนามสงบศึกในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 และด้วยสนธิสัญญาฉบับนี้ ห้ามมิให้มีการผลิตยุทโธปกรณ์ที่ใช้กับสงคราม ผลกระทบนี้โดยตรงที่ BMW โดยเฉพาะงานผลิตหลัก และ รายได้
ภาพซ้าย โรงงานที่ถ่ายในปี ค.ศ. 1918 เป็นปีที่ Friz เข้ามาร่วมงานกับBMW และ โรงงานนี้ใช้เป็นฐานหลักในการผลิตมาตลอด
ก่อนที่จะเป็นที่มาของ BMW Motorcycle ต้องย้อนหลังไปประมาณช่วงแรกของการตั้งบริษัทฯ โรงงานใช้เป็นที่ซ่อมเครื่องบินเนื่องจากเยอรมันถูกห้ามการใช้โรงงานในการผลิตอาวุธ บางเวลาก็ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์โรงงาน โดยนำของเหลือใช้ที่มาจากเครื่องบิน และ เพื่อความอยู่รอด Gustav Otto ผู้เริ่มต้นบริษัท และ โรงงาน ได้ลองเริ่มการผลิต "Motor Fahrrad" [Motor Bicycle] คือ "จักรยานมีเครื่อง" โดยเครื่องขนาดเล็ก 1 Horse Power วางอยู่บนล้อหน้า เป็นเครื่องสี่จังหวะ ออกจำหน่ายในชื่อว่า "Flottweg" แต่ไม่ได้รับความนิยม
ต่อมาวิศวกรชื่อ Karl Ruhmer ออกแบบที่พัฒนาขึ้น แต่ก็ยังมาจากฐานของจักรยาน โดยซื้อเครื่องที่ทำขึ้นโดย Carl Hanland ที่ Berlin เป็นเครื่อง 143 cc.สูบเดียว สองจังหวะ 1.5 HP น้ำหนักรถที่ 40 กิโลกรัม ทำความเร็วแค่ 50 kph.รถรุ่นนี้ชื่อ "Flink" แต่ก็ไม่ประสพความสำเร็จ มียอดการขายที่น้อยมาก
 คันทางซ้าย คือ Flottweg และ คันขวา คือ Flink ทั้งสองรุ่นผลิตจากโรงงาน แต่ จำนวนไม่มาก
ช่วงปี ค.ศ. 1920 Martin Stolle วิศวกรผู้คุมโรงงานขณะนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องมอเตอร์ไซด์ และ พยายามหางานผลิต ได้ทดลองออกแบบเครื่องหลายรูปแบบ และ มีต้นแบบที่เป็นแบบสูบชกกันในชื่อที่มาเรียกกันในสมัยต่อมาว่า "BOXER"Stolle ตั้งชื่อเครื่องนี้ว่า M2B15 ไม่นานโรงงานก็ได้รับการสั่งซื้อเครื่องครั้งแรกจาก Victoria Werke ด้วยสมรรถภาพที่เป็นที่ยอมรับ การสั่งซื้อก็เริ่มมีมากขึ้น และ ถือเป็นการเกิดของเครื่องM2B15
ภาพบนซ้าย Martin Stolle บนรถ Victoria ที่ซื้อเครื่อง M2B15 จาก BMW และจำหน่ายได้ดี ภาพบนขวา Helios ที่ผลิตโดย BFW [ที่รวมตัวเป็น BMW] ออกมาแข่งกับ Victoriaโดยใช้เครื่อง M2B15 ของโรงงานเอง แต่ไม่ได้รับความนิยม สังเกตได้ว่าโครงรถคล้าย Flink [ภาพบนและ ฐานมาจากจักรยาน การวางเครื่องแบบตั้งสูบอยู่หน้า-หลัง
ด้วยความพยายามของการอยู่รอด เครื่อง M2B15 ถูกนำมาสร้างมอเตอร์ไซด์ Helios ออกขายเพื่อแข่งกับ Victoria ที่ใช้เครื่องซื้อไปจากโรงงาน BFW แต่ปรากฏว่าไม่ประสพความสำเร็จ ขายได้ไม่มาก และ จุดนี้เองเป็นเหตุผลที่จะทำให้เกิด BMW Motorcycle ในเวลาต่อมา
ภาพซ้าย เครื่องต้นแบบ M2B15 ที่มาจากการออกแบบเริ่มต้นของ Martin Stolle และ ใช้กับ Victoria และ Helios ต้นแบบของเครื่องแบบ Boxer ในเวลาต่อมา
จากการที่มีปัญหาทางด้านการเงิน การรวมตัวของ BMW กับ BFW [วันที่ มิถุนายน ค.ศ.2522] ที่มีงานร่วมกันมาบ้างก่อนรวมบริษัท และ นับเป็นเวลาเริ่มต้นของคนสามคนที่มาร่วมกัน คือ Camilio Castiglioni ในฐานะของผู้ให้การสนับสนุนทางด้านเงินทุน Franz Joseph Popp ที่เป็นผู้บริหารควบคุมโรงงานและการผลิต และ Max Friz วิศวกรหนุ่มที่ Popp ว่าจ้างมาเมื่อ Daimler ไม่สามารถสู้อัตราเงินเดือนของ Friz ได้ การรวมตัวนี้เองที่เป็นการเริ่มต้น ที่ในเวลาต่อมา เป็นตำนานของการสร้างรถมอเตอร์ไซด์ BMW R32 ที่จะเป็นความสำเร็จครั้งแรก และ สร้างชื่อ สร้างบริษัท BMW  ที่อยู่มาจนปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการที่ Martin Stolle ลาออกจาก BMW ไปเข้าร่วมงานกับ Victoria Werke บริษัทฯที่ซื้อเครื่อง M2B15 ไปใช้กับมอเตอร์ไซด์ และ ประสพความสำเร็จในการจำหน่าย หน้าที่หลักในการพัฒนาออกแบบจึงตกเป็นของ Max Friz แต่ผู้เดียว สิ่งแรกที่ Poppขอให้ Max Friz ทำคือการปรับปรุงรถ Helios ให้ดีขึ้นเพื่อสามารถจำหน่ายให้หมดสต๊อค และ ถึงแม้ว่า Friz อาจจะไม่สนใจเรื่องมอเตอร์ไซด์มากแต่ Friz ก็ปรับปรุง Frame และ แฮนด์ ของHelios ให้ดีขึ้น และ ไม่นาน Helios ที่ค้างอยู่ในโรงงานก็จำหน่ายได้หมด
ในช่วงเวลานี้เองที่ F.J.Popp ขอให้ Friz ออกแบบรถรุ่นใหม่ และ ไม่นาน Friz ก็นำเสนอแบบรถรุ่นใหม่ ที่เปลี่ยนรูปแบบ และ เป็นจุดสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้มอเตอร์ไซด์รุ่นแรกของ BMW คือ R32
ภาพซ้าย จากการออกแบบเพื่อสร้างรถต้นแบบที่จะเป็น BMW R32 และ เป็นจุดกำเนิดที่แท้จริงของ BMW Motorcycle สังเกตุการวางเครื่อง การใช้เพลาขับเคลื่อน ไม่มีเบรคหน้า และ ไฟหน้า
สิ่งที่ Friz ออกแบบ R32 และ ทำให้เกิดความแตกต่างจนกลายมาเป็นสัญญลักษณ์สำคัญของ BMW Motorcycle คือการวางเครื่องในรูปแบบขวางกับทิศทางการวิ่งของรถ ในตัวโครงรถทำด้วยท่อเหล็กแบบคู่ [Double tube frame] วิธีนี้ทำให้ลมช่วยระบายความร้อนให้สูบทั้งสองเท่ากัน และ พอเพียง ในขณะที่คันบังคับการเปลี่ยนเกียร์ต่อตรงจากห้องเกียร์ ส่วนหลังเครื่อง เป็นแบบเกียร์มือที่อยู่ด้านขวาของถังน้ำมัน และ  เกียร์ต่อตรงไปยังเพลาที่ขับเคลื่อนล้อหลังแทนโซ่ ที่รถมอเตอร์ไซด์อื่นๆใช้อยู่
ภาพซ้าย ภาพวาดเหมือนจริง R32 เห็นการวางเครื่อง เกียร์ และ เพลาหลัง ที่มาจากการออกแบบของ Max Friz และ ในเวลาต่อมาจะเป็นต้นแบบการพัฒนา BMW Motorcycle รุ่นอื่นๆที่ตามมา และ การที่ใช้สีดำ แต่งเรียบๆด้วยลายเส้นสีขาวขนาดต่างกันเล็กน้อย ความคลาสสิคของการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ
แบบของ R32 ที่ Max Friz สร้างขึ้น ดูแปลกมากในช่วงเวลานั้น ตามความจริง การใช้เพลาหลังไม่ใช่การคิดค้นครั้งแรก หลายปีก่อนหน้านั้น จักรยานจากประเทศเบลเยี่ยม FN ใช้เพลาหลังมาอย่างแพร่หลาย และ มอเตอร์ไซด์ของอังกฤษก็ใช้เพลาหลังมาก่อนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก
จุดเด่นของแบบที่ Friz สร้างขึ้นก็คือการวางเครื่องแบบขวาง ก็ไม่ใช่คนแรกที่แท้จริง แต่รถ ABC ของอังกฤษเคยใช้เครื่อง 400 cc. วางแบบขวางมาตั้งแต่ปี 1919 แต่ไม่ได้รับความสนใจ
ภาพซ้าย BMW R32 สมบูรณ์แบบ โดย Max Friz ที่เป็นรถรุ่นแรกในนาม BMW ปี ค.ศ. 1923
ความสำเร็จของ Max Friz ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของวิศวกรรม แต่มาจากการผสมผสานส่วนที่ดีเข้ากับการออกแบบ ที่ดูแปลกใหม่สวยงามในเวลานั้น และ เมื่อรถตัวอย่างถูกสร้างขึ้น ทดลองขับขี่ ผลที่ได้ออกมาดีมาก R32 วิ่งได้ดี นุ่มนวลในการขับขี่ มีความสั่นสะเทือนน้อย เสียงเครื่องเงียบ และ การดูแลซ่อมแซมทำได้ง่าย และ แทบไม่มีความจำเป็น Max Friz ปรับเครื่องM2B15 เป็นเครื่องใหม่เบอร์ M2B33 ขนาด 494cc. 8.5 Horse Power ทำความเร็วได้ 100 kph. รถรุ่นแรกที่ออกจำหน่ายมีแค่เบรคหลัง ต่อมาได้เพิ่ม Drum Brake ที่ล้อหน้า ไฟหน้า เป็นของเลือกเพิ่ม
จากบทความหลายแห่งเขียนถึง R32 ว่าชื่อรุ่นนี้มีที่มาอย่างไร "R" น่าจะมาจาก "RAD" ซึ่งแปลว่า "Wheel" หรือ "Bicycle" คือ "ล้อ" หรือ "รถจักรยาน" แต่ "32" ไม่มีใครรู้ที่มาจนปัจจุบันนี้ เพราะไม่มีที่มาของหลักฐานอะไรเลย ค่อนข้างแปลกมากสำหรับรุ่นแรกที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ทราบเหตุผล BMW R32 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Paris Car Showฝรั่งเศส เดือน ตุลาคม ปี ค.ศ. 1923




ที่มา : www.bmwvintagebike.com
Share this article :

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น